การตั้งค่า WP Rocket ใน WordPress 11 ขั้นตอน
หากคุณต้องการติดตั้งและทำ การตั้งค่า WP Rocket ใน WordPress อย่างถูกต้อง เราได้รวบรวมเนื้อหาทั้งหมดไว้ให้แล้ว
WP Rocket เป็นปลั๊กอิน caching WordPress ที่ดีที่สุดในท้องตลาดเพราะมันฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมมากที่สุด และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความเร็วในเว็บไซต์ของคุณ
อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาเว็บไซต์มือใหม่ อาจไม่คุ้นเคยกับฟังก์ชันต่าง ๆ ในปลั๊กอินและไม่ทราบว่าตัวเลือกปลั๊กอินที่พวกเขาควรเปิดใช้งาน
ในบทความนี้เราจะแสดงวิธีติดตั้งและตั้งค่าปลั๊กอิน WP Rocket ใน WordPress ได้อย่างง่ายดาย เราจะนำคุณไปสู่การตั้งค่าปลั๊กอิน WP Rocket แบบสมบูรณ์ เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด และเว็บไซต์ของคุณ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สารบัญการตั้งค่า WP Rocket
ทำไมต้องใช้ WP Rocket?
ไม่มีใครชอบเว็บไซต์ที่ช้า จากการศึกษาด้านประสิทธิภาพพบว่า เวลาในการโหลดหน้าเว็บที่ช้าลงทุก ๆ 1 วินาที จะพบว่า %conversions ลดลง 7% จำนวนการดูหน้าเว็บน้อยลง11% และลดความพึงพอใจของลูกค้าลง16% และไม่ใช่เพียงแค่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เท่านั้นที่ไม่ชอบเว็บไซต์ที่โหลดช้า Google ก็ไม่ชอบเหมือนกัน พวกเขาให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ได้เร็ว และให้อันดับการค้นหาที่ดีกว่า
WP Rocket เป็นปลั๊กอิน caching WordPress ที่ดีที่สุดในท้องตลาดและช่วยให้คุณปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ wordpress ของคุณได้อย่างรวดเร็ว
มันทำงานยังไง?
WordPress เป็นระบบการจัดการเนื้อหาแบบไดนามิก ทุกครั้งที่ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ WordPress จะดึงเนื้อหาจากฐานข้อมูลที่คุณสร้างหน้าและส่งกลับไปให้ผู้ใช้
กระบวนการนี้จะใช้เวลาในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่คุณฝาก WordPress เอาไว้ และหากมีผู้คนจำนวนมากเข้าชมเว็บไซต์ของคุณในครั้งเดียวกัน กรณีนี้จะทำให้เว็บไซต์ของคุณทำงานช้าลง WP Rocket จะเป็นตัวช่วยเข้ามาจัดการทั้งหมดในส่วนนี้
ปลั๊กอินจะรวบรวมและบันทึกสำเนาแบบ static ของหน้าเว็บของคุณในแคชและช่วยให้ WordPress แสดงหน้าแคชไว้ไปยังผู้ใช้แทนการสร้างหน้าใหม่ทั้งหมด การทำเช่นนี้ช่วยเพิ่มทรัพยากรบนเซิร์ฟเวอร์บนเว็บไซต์ของคุณและปรับปรุงเวลาในการโหลดหน้าเว็บโดยรวมทั่วหมด ผมได้ใช้ WP Rocket ในเว็บไซต์ของเราเกือบทุกเว็บ ทีนี้เรามาลองมาดูวิธีการติดตั้งและตั้งค่า WP Rocket บนเว็บไซต์ WordPress
ขั้นตอนที่ 1 การติดตั้งปลั๊กอิน WP Rocket ใน WordPress
สิ่งแรกที่คุณต้องทำในการหากคุณต้องการติดตั้งและทำ การตั้งค่า WP Rocket ใน WordPress อย่างถูกต้อง เราได้รวบรวมเนื้อหาทั้งหมดไว้ให้แล้ว WP Rocket เป็นปลั๊กอิน caching ที่ดีที่สุดคือการติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน WP Rocket
สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน WP Rocket WP Rocket เป็นปลั๊กอินพรีเมี่ยม นั่นหมายความว่า คุณจำเป็นต้องซื้อปลั๊กอิน จึงจะใช้งานได้ ซึ่งจุดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนเว็บไซต์ที่คุณมี เมื่อติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน WP Rocket ปลั๊กอินจะเริ่มเปิดแคชที่มีการตั้งค่าที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์ของคุณทันที เราได้ทำการรันการทดสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์สาธิตทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง WP Rocket พบว่าประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเพียงติดตั้งปลั๊กอินเท่านั้น
การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่เห็นผลชัดทันทีเนื่องจาก WP Rocket ไม่ได้รอให้ผู้ใช้ร้องขอเพื่อเริ่มการแคชหน้าเพจ ปลั๊กอินจะทำการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณและโหลดเพจในแคช
คุณสามารถดูสถานะแคชโดยการเข้าสู่แดชบอร์ด WP Rocket อยู่ภายใต้การตั้งค่า»WP Rocket
ขั้นตอนที่ 2 ตั้งค่าตัวเลือกการแคชใน WP Rocket
ก่อนอื่นคุณต้องไปที่การตั้งค่า» WP Rocket และคลิกที่แท็บ “CACHE”
WP Rocketได้เปิดใช้งานการแคชของหน้าโดยค่าเริ่มต้น แต่คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าเพื่อเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ของคุณ
- การแคชของอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Cache)
เริ่มต้นเราจะสังเกตเห็นว่าการแคชของอุปกรณ์เคลื่อนที่เปิดอยู่เป็นค่าเริ่มต้น อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณเลือกเปิด “Separate cache files for mobile devices” ด้วยเช่นกัน
ตัวเลือกนี้ช่วยให้ WP Rocket ทำการสร้างไฟล์แคชแยกต่างหากสำหรับผู้ใช้มือถือ การตรวจสอบตัวเลือกนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่จะได้รับประสบการณ์ที่ถูกแคชไว้แบบเต็มประสิทธิภาพ
- แคชของผู้ใช้ (User Cache)
หากรันเว็บไซต์แบบที่ ผู้ใช้คนอื่นต้องทำการ login เพื่อเข้าใช้งานของคุณ คุณจำเป็นต้องเปิดใช้งานตัวเลือกนี้
ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ของคุณ เป็นเว็บไซต์ WooCommerce ที่สมาชิก ต้องทำการ login ก่อนทำการเลือกซื้อสินค้า ตัวเลือกนี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานสำหรับการเข้าสู่ระบบ ของผู้ใช้ทั้งหมด
- อายุการใช้งานแคช (Cache Lifespan)
อายุการใช้งานแคช คือเวลาที่คุณต้องการจัดเก็บไฟล์ที่แคชไว้บนเว็บไซต์ของคุณ โดยค่าเริ่มต้นถูกตั้งค่าไว้ที่ 10 ชั่วโมง ซึ่งสามารถทำงานได้ดีกับเว็บไซต์ส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามคุณสามารถตั้งค่าให้เป็นค่าที่ต่ำกว่า ถ้าหากเว็บไซต์ของคุณ เป็บเว็บไซต์ที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก หรือมีการอัพเดทบ่อย ๆ นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งค่าให้เป็นค่าที่สูงขึ้นได้หากคุณไม่ได้ปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณบ่อย ๆ
หลังจากครบช่วงอายุของ Cache Lifespan แล้ว WP Rocket จะลบไฟล์ที่แคชไว้ นอกจากนี้ยังจะเริ่มการโหลดแคชที่มีเนื้อหาที่ปรับปรุงทันที
อย่าลืมคลิกที่ปุ่มบันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อจัดเก็บการตั้งค่าของคุณ
ขั้นตอนที่ 3 การลดขนาดไฟล์โดยใช้ WP Rocket (File Optimization)
WP Rocket ช่วยให้คุณสามารถลดขนาดไฟล์แบบ static เช่น JavaScript และ CSS stylesheets คุณสามารถสลับไปยังแท็บ File Optimization และทำเครื่องหมายในช่องสำหรับชนิดของไฟล์ที่คุณต้องการบีบอัด
ทำให้ไฟล์เหล่านั้นมีขนาดเล็กลง ในกรณีส่วนใหญ่ความแตกต่างนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเว็บไซต์ของคุณมีขนาดใหญ่มี traffic จำนวนมาก แน่นอนว่าการตั้งค่าในส่วนนี้ จะสามารถลดการใช้แบนด์วิธโดยรวมของคุณและช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก
อย่างไรก็ตาม การลดขนาดไฟล์เหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ บางครั้งอาจแสดงผลได้ไม่สมบูร์อย่าลืมตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานตามที่ออกแบบไว้
ขั้นตอนที่ 4 Lazy Load Media เพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
รูปภาพในเว็บไซต์มักจะเป็นรายการที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับสองรองจากวิดีโอ รูปภาพใช้เวลาในการโหลดมากกว่าข้อความและเพิ่มเวลาในการโหลดหน้าเว็บโดยรวม
เทคนิคที่เป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Lazy Load โดยจะทำการหน่วงเวลาการแสดงภาพ แทนที่จะโหลดภาพทั้งหมดของคุณในครั้งเดียว การเปิดใช้งาน Lazy Load เลือกโหลดเฉพาะภาพที่จะมองเห็นได้บนหน้าจอของผู้ใช้ นี้ไม่เพียงแต่ทำให้หน้าเว็บของคุณโหลดได้อย่างรวดเร็ว แต่ผู้ใช้งานเว็บไซต์จะรับรู้ได้ว่า เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น
WP Rocket มาพร้อมกับคุณสมบัติ Lazy Load ในตัว คุณสามารถเปิดใช้งานสำหรับภาพโดยเพียงแค่การติ๊กถูก นอกจากนี้คุณยังสามารถเปิดใช้งาน Lazy Load สำหรับวิดีโอที่ฝังไว้ใน YouTube และ iframe
หมายเหตุ: ในขณะที่ Lazy Load ช่วยปรับปรุงความเร็วในการโหลดภาพบนเว็บไซต์ คุณควรบันทึกและเพิ่มประสิทธิภาพภาพสำหรับเว็บเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด ต่อไปนี้คือวิธีการปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสมกับประสิทธิภาพของเว็บ (ทีละขั้นตอน)
ขั้นตอนที่ 5 ปรับแต่ง Preloading ใน WP Rocket
ถัดไปคุณสามารถตรวจสอบการตั้งค่าการโหลดล่วงหน้าใน WP Rocket โดยการสลับไปยังแท็บ “Preload” โดยค่าเริ่มต้นปลั๊กอินเริ่มต้น จะทำการรวบรวมข้อมูลหน้าแรกของคุณและติดตามการเชื่อมโยงไปยังโหลดแคช
คุณสามารถบอกปลั๊กอินเพื่อใช้แผนผังไซต์ XMLของคุณในการสร้างแคช
คุณสามารถปิดคุณลักษณะการ Preload ได้เช่นกันแต่เราไม่แนะนำ
การปิด Preload จะทำให้ผู้ใช้โหลดเพจครั้งแรกช้าเสมอ
หมายเหตุ: โปรดเปิดคุณสมบัติ Preload ไว้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ประสิทธิภาพสูงสุด
ขั้นตอนที่ 6 ตั้งค่ากฎการแคชขั้นสูง (Advanced Rules)
WP Rocket ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการแคชแบบเต็มรูปแบบ คุณสามารถเลือก tab Advanced Rules เพื่อยกเว้นหน้าเว็บที่คุณไม่ต้องการให้แคช
นอกจากนี้คุณยังสามารถยกเว้นการแคชคุกกี้ (ตามประเภทเบราว์เซอร์และประเภทอุปกรณ์) ระบบจะทำการสร้างแคชโดยอัตโนมัติเมื่อคุณกดปุ่มบันทึกการตั้งค่า
การตั้งค่าเริ่มต้นสำหรับเว็บไซต์ส่วนใหญ่ หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวว่าจะตั้งค่าอย่างไร ให้ปล่อยให้ว่างไว้ ก็เพียงพอแล้ว
พื้นที่การตั้งค่านี้มีไว้สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญที่ต้องการตั้งค่าแบบกำหนดเองและมีการตั้งค่าเว็บไซต์ที่ซับซ้อน
ขั้นตอนที่ 7 การทำความสะอาดฐานข้อมูลโดยใช้ WP Rocket
WP Rocket ยังง่ายต่อการทำความสะอาดฐานข้อมูลWordPress ในส่วนนี้มีผลน้อยมากผลต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณหรือไม่มีเลย คุณยังคงสามารถตรวจสอบตัวเลือกเหล่านี้หากต้องการ
เริ่มต้นให้สลับไปยังแท็บ Database ในหน้าการตั้งค่าปลั๊กอิน จากที่นี่คุณสามารถลบข้อคิดเห็นที่โพสต์ฉบับร่างจดหมายขยะและถังขยะได้
อย่างไรก็ตามเราไม่แนะนำให้ลบการแก้ไขโพสต์ Post Cleanup เพราะจะมีประโยชน์ในการยกเลิกการเปลี่ยนแปลงในโพสต์ WordPress และเพจของคุณในอนาคต นอกจากนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องลบสแปมและแสดงความคิดเห็น (Comments Cleanup) เพราะ WordPress จะทำการลบให้เองโดยอัตโนมัติภายใน 30วัน
ขั้นตอนที่ 8 กำหนดค่า CDN ของคุณให้ทำงานร่วมกับ WP Rocket
หลังจากนั้นให้คุณสลับไปยังแท็บ CDN หากคุณเปิดใช้บริการ CDN สำหรับเว็บไซต์ WordPress คุณสามารถตั้งค่า CDN ให้ทำงานร่วมกับ WP Rocket ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแสดง CDN หรือเครือข่ายการส่งเนื้อหา ช่วยให้คุณสามารถให้บริการไฟล์แบบคงที่จากเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
การทำเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ของคุณเพราะมันช่วยให้ผู้ใช้เบราว์เซอร์สามารถดาวน์โหลดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เคียงกับสถานที่ของพวกเขา นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของคุณและทำให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองได้รวดเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าหลัก หรือผู้เยี่ยมชมหลักของคุณอยู่ในประเทศไทย การตั้งค่า CDN อาจไม่จำเป็น อีกทั้งคุณยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการฝากข้อมูลไปยังผู้ให้บริการ CDN
ขั้นตอนที่ 9 การลดการทำงานของ Heartbeat API ในWordPressด้วย WP Rocket
Heartbeat API ช่วยให้ WordPress ส่งสัญญาณเป็นครั้งคราวไปยังเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้ง ซึ่งทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถทำงานที่กำหนดเวลาไว้ได้
ตัวอย่างเช่นเมื่อเขียนบล็อกโพสต์ แล้วตั้งเวลาการโพสต์ไว้ Heartbeat API จะทำการตรวจสอบการเชื่อมต่อและการเปลี่ยนแปลงการโพสต์
คุณสามารถคลิกที่แท็บ API ของฮาร์ทบีทเพื่อควบคุมคุณลักษณะนี้และลดความถี่ในการทำงานของ Heartbeat
แต่เราไม่แนะนำให้ปิดการใช้งาน Heartbeat API เพราะเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์มาก
อย่างไรก็ตามคุณสามารถลดความถี่ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานเป็นพิเศษสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่
ขั้นตอนที่ 10 WP Rocket Addons
WP Rocket ยังมาพร้อมกับ Addons ให้คุณสามารถปรับแต่งคุณสมบัติได้โดยง่าย ลองมาดูกันว่าเราสามารถปรับแต่ง addons อะไรได้บ้าง
- Google Analytics Addon
Add-on ของ Google Analytics สำหรับ WP Rocket ช่วยให้คุณสามารถโฮสต์ รหัส Google Analytics บนเซิร์ฟเวอร์ของคุณเองได้ นี้ไม่ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพที่สำคัญใดๆแต่ผู้ใช้บางคนต้องการให้ได้รับคะแนนความเร็วในการโหลดหน้าเพจ 100%
- Facebook Pixel
หากคุณกำลังใช้ Facebook Pixel สำหรับการติดตามผู้ใช้แล้ว addon นี้จะโฮสต์ Facebook Pixel บนเซิร์ฟเวอร์ของคุณ การกระทำนี้จะช่วยปรับปรุงคะแนน pagespeed ของคุณแต่อาจไม่มีผลกระทบใดๆ ที่เกิดขึ้นจริงเกี่ยวกับความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
- Varnish Addon
หากผู้ให้บริการ hosting ของคุณใช้ Varnish Addon คุณต้องเปิดใช้งาน addon นี้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าแคช Varnish Addon จะถูกล้างเมื่อ WP Rocket ทำการล้างแคช
- Cloudflare
หากคุณกำลังใช้ Cloudflare CDN คุณต้องเปิดใช้งาน addon นี้เพื่อให้ทำงานควบคู่ไปกับ WP Rocket เพียงแค่เปิดใช้งาน addon และคลิกที่ปุ่ม “Save change”
หลังจากนั้นคุณต้องป้อนข้อมูลประจำตัวบัญชีของคุณเพื่อเชื่อมต่อ WP Rocket กับบัญชี Cloudflare ของคุณ
- Sucuri
หากคุณกำลังใช้ Sucuri คุณต้องเปิดใช้งาน addon นี้และคลิกที่ปุ่ม “Save change” หลังจากนั้นให้ป้อนคีย์ API ของบัญชี Sucuri ของคุณเพื่อเชื่อมต่อบัญชีของคุณ
ขั้นตอนที่ 11 การจัดการแคช WP Rocket ของคุณ
WP Rocket ยังง่ายสำหรับผู้ดูแลระบบในการจัดการและล้างแคชWordPress เพียงไปที่หน้าการตั้งค่าปลั๊กอิน และคุณจะพบตัวเลือกในการเคลียร์แคชอย่างรวดเร็วในหน้า DASHBOARD
คุณยังสามารถเริ่มต้นสร้าง Preload Cache ได้อีกด้วย
ปลั๊กอินยังทำให้ง่ายต่อการนำเข้าและส่งออกการตั้งค่าปลั๊กอิน คุณสามารถสลับไปยังเครื่องมือเพื่อให้สามารถส่งออกและนำเข้าการตั้งค่าปลั๊กอินได้อย่างง่ายดาย ฟังก์ชั่นนี้จะเป็นประโยชน์เมื่อย้าย WordPress จากเซิร์ฟเวอร์บน PC ไปยังเว็บไซต์บน Server จริง และ/หรือเมื่อย้าย wordpress ไปยังโดเมนใหม่
นอกจากนี้ คุณยังสามารถสลับไปใช้งานปลั๊กอินรุ่นก่อนหน้า มีประโยชน์เวลาที่การปรับปรุงแบบ WP Rocketไม่ทำงานตามที่คาดไว้
ข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งค่า WP Rocket – คำถามที่ถามบ่อย
ในฐานะที่ WP Rocket เป็นปลั๊กอินที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เราได้พบคำถามมากมายที่เกี่ยวกับ การตั้งค่า WP Rocket นี่คือบางส่วนของคำถาม: