สารบัญ
Technical SEO คืออะไร?
Technical SEO หมายถึง การปรับแต่งเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ของคุณเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและดัชนีเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น เป้าหมายคือการปรับปรุงโครงสร้างหลังบ้านของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERPs) ประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น:
- ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วขึ้นสามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นได้และเป็นส่วนหนึ่งของการจัดอันดับที่เครื่องมือค้นหาให้ความสำคัญ
- การปรับใช้ HTTPS: การใช้ HTTPS ช่วยให้มั่นใจว่าข้อมูลระหว่างผู้ใช้และเว็บไซต์เป็นส่วนตัวและปลอดภัย
- การตอบสนองของเว็บไซต์ (Mobile-friendliness): เว็บไซต์ที่ทำงานได้ดีบนอุปกรณ์มือถือมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีเนื่องจากการใช้งานผ่านมือถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ไฟล์ robots.txt: ไฟล์นี้บอกเครื่องมือค้นหาว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ควรหรือไม่ควรจะถูกดัชนี
- การจัดการกับข้อมูลที่ซ้ำกัน: ข้อมูลที่ซ้ำกันบนเว็บไซต์สามารถสร้างความสับสนให้กับเครื่องมือค้นหาได้ ดังนั้นจึงควรจัดการให้เหมาะสม
- การใช้แท็ก canonical: แท็กเหล่านี้ช่วยแสดงให้เครื่องมือค้นหาเห็นว่าเวอร์ชันไหนของเนื้อหาที่คล้ายกันเป็นเวอร์ชัน “อย่างเป็นทางการ”
- การใช้งาน XML Sitemap: ไฟล์นี้ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถพบเพจต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- โครงสร้าง URL ที่เหมาะสม: การมี URL
คนส่วนใหญ่เวลาพูดถึงการทำ search engine optimization หรือ SEO นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ on-site optimization และ off-site optimization ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ ประกอบไปด้วยการทำงานเกี่ยวกับ content, keywords, และ links แต่หลายครั้ง การทำ technical SEO กลับถูกมองข้ามไป หลายคนมีความรู้ความเข้าใจไม่เพียงพอ หรือแม้แต่กลัวที่จะลงมือทำ
การทำ technical SEO เป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เราจะต้องทำให้เนื้อหาของเรานั้น มีโอกาสมากที่สุดที่จะแสดงผลในหน้าค้นหาของ Google การ optimization ยิ่งมาก ยิ่งมีโอกาสที่เราจะทำอันดับ keywords ที่เราต้องการได้ดีมากยิ่งขึ้น การทำ Technical SEO จะช่วยให้เราสามารถโฟกัสในจุดที่ search engines จะทำการตรวจสอบเว็บไซต์ของเรา
ถ้า search engines สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น เราก็จะสามารถทำอันดับด้วยวิธี on-site และ off-site optimization มีปัจจัยหลายอย่าง ที่เราต้องทำการวิเคราะห์ และแก้ปัญหา ในการทำ SEO campaign
บทความนี้ จะแนะนำคุณ เกี่ยวกับเครื่องมือพื้นฐาน ที่สำคัญที่จะสามารถบอกเราได้ว่า เว็บไซต์ของเรานั้น ต้องได้รับการแก้ไขในจุดไหน และเครื่องมือแต่ละตัวที่แนะนำนั้น ทำงานอย่างไร
1. Google Webmaster Tools
Google Webmaster Tools เป็นหนึ่งในเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญที่สุด และมีคุณสมบัติต่าง ๆ มากมายในการพัฒนาเว็บไซต์ คุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ Google Webmaster Tools สามารถบอก 404 errors ของเราได้ หรือสามารถบอกเราได้ว่า เว็บไซต์ของเรานั้น สามารถแสดงให้ผู้เยี่ยมชมได้หรือไม่ ซึ่งหากเราไม่ทราบถึงปัญหาเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อการทำอันดับ SEO ได้
Google Webmaster Tools ยังช่วยตรวจสอบไฟล์ robot.txt (เป็นไฟล์หนึ่งในเว็บไซต์ของคุณที่จะช่วยบอก search engines ว่าจะให้แสดง หรือไม่แสดงผลหน้าใดของเว็บไซต์ของเราในหน้า search result ของ Google) เพื่อดูให้แน่ใจว่า ไม่มีหน้าไหนที่สำคัญของเรา ถูกบล็อกโดย search engines
นอกจากนี้ Google Webmaster Tools ยังช่วยคุณตรวจสอบ sitemap ว่ามีข้อผิดพลาดตรงจุดไหนหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ เพราะว่า sitemap นั้นอาจมี errors อยู่เต็มไปหมด และเป็นผลเสียต่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ Google Webmaster Tools สามารถช่วยค้นหาหน้าเพจที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อน ทำให้คุณสามารถแก้ไขได้ เป็นการหลีกเลี่ยงการโดนแบนจาก search engines
2. Screaming Frog
Screaming Frog เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน หากคุณยังไม่ได้เริ่มใช้โปรแกรมนี้ ผมขอแนะนำให้โหลดมาใช้ เพราะโปรแกรมนี้ช่วยตรวจสอบโดเมนของคุณในทุกมุมมอง และช่วยคุณอย่างมากในการทำ technical SEO
มันสามารถช่วยให้คุณหา duplicate page titles และ descriptions รวมไปถึงโครงสร้างของ URL ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
3. Google’s PageSpeed Insights
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยิ่งเว็บไซต์ของเราโหลดได้เร็วมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ ranking ดีมากขึ้นเท่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ช่วยให้ผู้ชมไม่ต้องรอนาน และมีความสุขในการอ่านเนื้อหา
Google’s PageSpeed Insights Tool จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์หน้าเพจ เพื่อทดสอบความเร็ว และคะแนน user experience ที่ความเร็วนั้น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยวิเคราะห์ผลการทำงานบนอุปกรณ์มือถือ และคอมพิวเตอร์อีกด้วย
4. Responsinator
Responsinator ทำงานคล้ายกันกับ Google Mobile-Friendly Testing Tool แต่มีส่วนที่แตกต่างคือ โปรแกรมสามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เราเห็นได้ ว่าเว็บไซต์ของเรานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อโหลดบนอุปกรณ์มือถือและแท็บเล็ตต่าง ๆ ทั้งในมุมมองแนวตั้ง และแนวนอน
ซึ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ นี้ ประกอบไปด้วย iPhones, Androids, iPads, และ Tablets ถึงแม้ว่าตัวโปรแกรม จะไม่สามารถบอกถึงวิธีการแก้ไขปัญหา แต่ก็สามารถทำให้เราตรวจสอบได้ว่า เว็บไซต์ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร บนอุปกรณ์อื่น ๆ
5. Siteliner
Siteliner เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสามารถตรวจหา duplicate content ภายในเว็บไซต์ของเรา สิ่งที่เราต้องทำคือ ให้เราใส่ domain name ของเราเข้าไป จากนั้นโปรแกรมจะทำการตรวจหาวิเคราะห์ถึงเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ โปรแกรมยังช่วยบอกเราว่าหน้าไหนที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อน และ % ของเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถแก้ไข และเลี่ยงเนื้อหาที่มีความซ้ำซ้อนมากเกินไปได้อีกด้วย
6. Google Mobile Friendly
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2015 Google ก็ได้อัพเดท mobile algorithm ที่ช่วยให้คะแนนอันดับสูงขึ้น สำหรับเว็บไซต์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับอุปกรณ์มือถือ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเครื่องมือทดสอบ mobile-friendly testing tool ที่จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบได้ว่า เว็บไซต์ของคุณ จะไม่เสียคะแนนจากการอัพเดทในครั้งนี้
หากว่าเว็บไซต์ของคุณทำการทดสอบแล้ว ไม่ผ่านมาตรฐาน เครื่องมีนี้ จะสามารถบอกวิธีการแก้ไขได้
7. Browseo
Browseo ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณ ในแบบเดียวกันกับ search engines เครื่องมือนี้จะบอกคุณว่าเนื้อหาที่คุณต้องการนำเสนอนั้น เป็นแบบที่คุณต้องการหรือเปล่า ด้วยเหตุผลบางประการ search engines อาจไม่ได้แสดงผลลัพธ์ที่สำคัญในแบบที่คุณต้องการ เว็บนี้จะเป็นตัวบอกคุณเอง
อย่างที่ได้เรียนรู้กันไปแล้ว เรามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องไม่ละเลย technical SEO ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำ SEO เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้คุณทราบถึงปัญหา และลดความยากในการทำการตลาดออนไลน์ หากมีความสนใจเพิ่มเติมในการทำ SEO ท่านสามารถดูคอร์ส SEO ได้ที่นี่