Google Ads มีหลายประเภทของโฆษณาที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายรูปแบบ ตามลักษณะของธุรกิจและวัตถุประสงค์ที่คุณต้องการบรรลุในแคมเปญของคุณ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับประเภทโฆษณาใน Google Ads เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้โฆษณาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญของคุณ
1. โฆษณาแบบค้นหาบน Google (Search Ads)
โฆษณาแบบค้นหาบน Google เป็นประเภทโฆษณาที่แสดงบนหน้าผลการค้นหาของ Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ
- ข้อดี:
- เข้าถึงผู้ใช้ที่มีความตั้งใจในการค้นหาสูง
- มีโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกมากขึ้นเพราะพวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่ต้องการ
- การตั้งงบประมาณสามารถควบคุมได้ง่าย
- ตัวอย่าง: เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่งผู้หญิง” โฆษณาของร้านรองเท้าผู้หญิงอาจแสดงบนหน้าผลลัพธ์
2. โฆษณาแบบแสดงผล (Display Ads)
โฆษณาแบบแสดงผล (Display Ads) เป็นโฆษณาที่ปรากฏในเครือข่ายของ Google Display Network (GDN) ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโปรแกรมของ Google
- ข้อดี:
- สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่กว้างขวาง
- โฆษณาสามารถเป็นภาพหรือแบนเนอร์ที่มีการดึงดูดสายตา
- เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์
- ตัวอย่าง: โฆษณาแบนเนอร์ที่ปรากฏในเว็บไซต์ข่าวหรือบล็อก
3. โฆษณาแบบวีดีโอ (Video Ads)
โฆษณาแบบวีดีโอเป็นโฆษณาที่แสดงบน YouTube หรือในเครือข่ายของ Google ซึ่งช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถสื่อสารผ่านสื่อที่มีความน่าสนใจและมีผลกระทบสูง
- ข้อดี:
- โฆษณาวีดีโอสามารถถ่ายทอดข้อความได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ
- มีตัวเลือกให้แสดงก่อนวิดีโออื่น ๆ ที่ผู้ชมเลือกดู (Pre-roll Ads)
- สามารถวัดผลได้โดยใช้ตัวเลขที่ชัดเจน เช่น จำนวนการดูหรือการคลิก
- ตัวอย่าง: โฆษณาวีดีโอที่แสดงขึ้นก่อนวิดีโอที่ผู้ใช้กำลังดูบน YouTube
4. โฆษณาแบบการช้อปปิ้ง (Shopping Ads)
โฆษณาแบบการช้อปปิ้งแสดงข้อมูลสินค้าโดยตรงในผลการค้นหาของ Google รวมถึงภาพสินค้า ราคา และรายละเอียด
- ข้อดี:
- เหมาะสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการโชว์สินค้า
- ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าให้คลิกไปยังเว็บไซต์
- สามารถทำการตลาดในระดับที่มีความเฉพาะเจาะจงได้ดี
- ตัวอย่าง: โฆษณาที่แสดงผลการค้นหาคำว่า “โทรศัพท์มือถือ” พร้อมภาพและราคาจากร้านค้าออนไลน์
5. โฆษณาแบบแอป (App Ads)
โฆษณาแบบแอปช่วยโปรโมทแอปพลิเคชันโดยตรงให้กับผู้ใช้ที่อาจสนใจดาวน์โหลดแอปนั้น
- ข้อดี:
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป
- แสดงผลใน Google Play Store, YouTube, หรือ Google Search
- ใช้ข้อความโฆษณาและภาพเพื่อดึงดูดความสนใจ
- ตัวอย่าง: โฆษณาแอปที่ปรากฏใน Google Play Store หรือ YouTube เพื่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป
6. โฆษณาแบบ Remarketing
Remarketing เป็นกลยุทธ์การโฆษณาที่แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อหรือดำเนินการบางอย่างที่คุณต้องการ
- ข้อดี:
- เข้าถึงผู้ใช้ที่เคยแสดงความสนใจในสินค้า
- ช่วยเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
- สามารถทำให้โฆษณามีความเฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพ
- ตัวอย่าง: ผู้ที่เคยเข้าชมสินค้าบนเว็บไซต์ของคุณจะเห็นโฆษณาแสดงขึ้นในเว็บไซต์อื่น ๆ ที่พวกเขาเข้าชม
เชิญเรียนคอร์ส Google Ads กับเรา
หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการใช้ประเภทโฆษณาใน Google Ads และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญของคุณ คอร์ส Google Ads ของเราพร้อมช่วยคุณทำได้
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้:
- การเลือกประเภทโฆษณาที่เหมาะสมกับธุรกิจ
- วิธีสร้างโฆษณาในแต่ละประเภท
- เทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญในทุกประเภทโฆษณา
สมัครวันนี้!
เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงในแคมเปญ Google Ads คลิก ที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดและลงทะเบียน!