Remarketing เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพใน Google Ads ที่ช่วยให้คุณสามารถแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณหรือใช้แอปของคุณแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการกระทำที่คุณต้องการ เช่น การซื้อสินค้าหรือการสมัครสมาชิก การใช้ Google Ads Remarketing จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าที่อาจลืมหรือไม่ได้ดำเนินการซื้อในครั้งแรกให้กลับมาทำการซื้อในครั้งถัดไป
1. ทำความเข้าใจกับ Remarketing
Remarketing ช่วยให้คุณแสดงโฆษณาเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือแอปของคุณแล้ว ด้วยการใช้คุกกี้ (cookies) เพื่อเก็บข้อมูลการเข้าชมของผู้ใช้ จากนั้นคุณสามารถสร้างแคมเปญ Remarketing เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. การตั้งค่า Google Ads Remarketing
ขั้นตอนที่ 1: สร้างลิสต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์
ใน Google Ads คุณต้องสร้างลิสต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือผู้ใช้แอปที่คุณต้องการทำ Remarketing ให้เข้าไปที่ “Audience Manager” และเลือก “Website Visitors” หรือ “App Users” ขึ้นอยู่กับประเภทของ Remarketing ที่คุณต้องการใช้
- เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ผู้ที่เข้าชมหน้าเว็บเฉพาะหรือผู้ที่ทิ้งตะกร้าสินค้าไว้
ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้ง Google Tag หรือ Pixel
เพื่อให้ Google Ads สามารถเก็บข้อมูลการเข้าชมจากผู้ใช้ได้ คุณต้องติดตั้ง Google Tag หรือ Google Pixel บนเว็บไซต์ของคุณ Google Tag คือโค้ดที่สามารถฝังลงในเว็บไซต์ได้ เพื่อบันทึกข้อมูลการเข้าชมของผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกหรือที่เข้าเยี่ยมชม
- ใน Google Ads ให้ไปที่ส่วน “Audience Sources” และเลือก “Google Tag” จากนั้นติดตั้งโค้ดลงบนทุกหน้าของเว็บไซต์
ขั้นตอนที่ 3: สร้างแคมเปญ Remarketing
เมื่อคุณตั้งค่าลิสต์และติดตั้ง Google Tag เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างแคมเปญ Remarketing
- เลือกประเภทแคมเปญที่ต้องการ (Search, Display, หรือ Video Ads)
- ตั้งเป้าหมายแคมเปญ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการสร้างการรับรู้
- เลือก “Remarketing” ในตัวเลือกของกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นเลือกลิสต์ของผู้เข้าชมที่คุณได้สร้างไว้
3. วิธีปรับปรุงแคมเปญ Remarketing
การสร้างโฆษณาที่มีความน่าสนใจ
โฆษณาใน Remarketing ควรมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้เคยดูหรือสนใจเมื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
- ใช้ข้อความที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้เคยดู เช่น “สินค้าของคุณยังอยู่ในตะกร้า” หรือ “กลับมาช้อปกับส่วนลดพิเศษ”
- ใช้ภาพที่ดึงดูดและตรงกับสินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้สนใจ
การตั้งเวลาการแสดงโฆษณา
คุณสามารถกำหนดเวลาให้โฆษณาแสดงให้ผู้ใช้เห็นหลังจากที่พวกเขาทิ้งเว็บไซต์ของคุณไปแล้ว ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ไม่ได้ดำเนินการซื้อภายใน 30 วัน คุณอาจต้องการแสดงโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้ออีกครั้ง
การตั้งงบประมาณและการเสนอราคา
กำหนดงบประมาณที่เหมาะสมและเลือกกลยุทธ์การเสนอราคาที่เหมาะกับแคมเปญ Remarketing เช่น การเสนอราคาต่อการคลิก (CPC) หรือการเสนอราคาต่อการแปลง (CPA)
- หากคุณต้องการเพิ่มยอดขายที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด ควรเลือกการเสนอราคาตาม Conversion
4. การติดตามและปรับปรุงผลลัพธ์
การติดตามผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงแคมเปญ Remarketing ของคุณ โดยคุณสามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากการดู:
- Conversion Rate: อัตราการแปลงจากการคลิกโฆษณา
- Click-Through Rate (CTR): อัตราการคลิกเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการแสดงผล
- Cost Per Acquisition (CPA): ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการดึงลูกค้ารายใหม่
หากผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่คาดหวัง คุณสามารถปรับปรุงแคมเปญได้ เช่น การเปลี่ยนข้อความโฆษณาหรือการปรับกลุ่มเป้าหมาย
5. การใช้ Dynamic Remarketing
Dynamic Remarketing คือรูปแบบที่ช่วยให้คุณสามารถแสดงโฆษณาเฉพาะสินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้เคยดูบนเว็บไซต์ของคุณ
- โฆษณาจะปรากฏขึ้นพร้อมกับภาพของสินค้าที่ผู้ใช้สนใจหรือใส่ไว้ในตะกร้า
- เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มการแปลงและการขาย
เชิญเรียนคอร์ส Google Ads Remarketing กับเรา
หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการใช้ Google Ads Remarketing อย่างเต็มประสิทธิภาพ คอร์ส Google Ads ของเราพร้อมช่วยคุณทำได้
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้:
- การตั้งค่าและการสร้างแคมเปญ Remarketing
- การปรับปรุงแคมเปญ Remarketing เพื่อเพิ่มผลลัพธ์
- การใช้ Dynamic Remarketing เพื่อแสดงสินค้าตามความสนใจ
สมัครวันนี้!
เรียนรู้วิธีใช้ Remarketing อย่างมืออาชีพ พร้อมตัวอย่างจากผู้เชี่ยวชาญ คลิก ที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดและลงทะเบียน!