เมื่อคุณทำเว็บไซต์หรือบล็อก คงจะเคยเจอกับปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ (Duplicate Content) ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา เช่น Google ลดลง หรือทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ Canonical Tag.
Canonical Tag คือเครื่องมือสำคัญในการช่วยบอกให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าเวอร์ชันใดของหน้าบทความหรือเพจเป็นต้นฉบับ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาคอนเทนต์ซ้ำที่อาจเกิดขึ้นบนเว็บไซต์และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
Canonical Tag คืออะไร?
Canonical Tag (หรือที่เรียกกันว่า “Rel=canonical”) เป็นแท็ก HTML ที่ใช้เพื่อบอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าหรือ URL ที่กำหนดเป็นเวอร์ชันที่ “เป็นต้นฉบับ” หรือ “สำคัญที่สุด” ในกรณีที่มีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่เหมือนกันหรือคล้ายกันในหลาย URL เช่น หน้าเดียวกันที่สามารถเข้าถึงได้จากหลาย URL หรือเวอร์ชันของหน้าเว็บที่ถูกแสดงในหลายภาษา.
โดยการใช้ Canonical Tag เครื่องมือค้นหาจะเข้าใจว่าเนื้อหานั้นมาจากหน้าหลักเดียวและควรจะให้เครดิตการจัดอันดับแก่หน้าหลักนั้น แทนที่จะให้เครดิตกับหน้าหลายๆ หน้า ที่มีเนื้อหาซ้ำกัน.
เหตุผลที่ต้องใช้ Canonical Tag
- หลีกเลี่ยงปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ
หากเว็บไซต์ของคุณมีหลายหน้าเว็บที่มีเนื้อหาคล้ายกัน เช่น หน้าเดียวกันที่สามารถเข้าถึงได้หลาย URL หรือเวอร์ชันที่แตกต่างกันของหน้าเดียวกัน การใช้ Canonical Tag ช่วยบอกเครื่องมือค้นหาว่า URL ใดควรจะได้รับการจัดอันดับในผลการค้นหาผ่านการใช้rel="canonical"
- ปรับปรุง SEO
การใช้ Canonical Tag ช่วยให้เครื่องมือค้นหามีความชัดเจนในเรื่องหน้าเว็บที่สำคัญที่สุด ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณสามารถจัดอันดับในผลลัพธ์การค้นหาได้ดีขึ้น และลดปัญหาการถูกลงโทษจาก Google เนื่องจากเนื้อหาซ้ำ - ป้องกันการกระจายลิงก์
เมื่อคุณมีหลาย URL ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน Google อาจจะแบ่งค่าคะแนนจากลิงก์ที่ชี้ไปยังหน้าเหล่านั้น การใช้ Canonical Tag ช่วยรวมค่าคะแนนลิงก์ทั้งหมดไว้ที่หน้าหลัก ทำให้หน้าหลักได้รับคะแนนสูงสุด
วิธีการใช้งาน Canonical Tag
การใช้งาน Canonical Tag ค่อนข้างง่าย เพียงแค่เพิ่มแท็กนี้ลงในหัวของหน้า HTML ที่ต้องการให้เป็นเวอร์ชันหลัก ตัวอย่างของการใช้ Canonical Tag ในโค้ด HTML มีดังนี้:
<link rel="canonical" href="https://www.example.com/your-page-url" />
ในตัวอย่างข้างต้น แท็ก <link rel="canonical" href="URL">
บอกเครื่องมือค้นหาว่า URL ที่คุณระบุใน href
ควรจะเป็นเวอร์ชันหลักของหน้าเว็บนั้น.
การใช้งาน Canonical Tag ในกรณีต่างๆ
- หน้าเว็บที่มีหลาย URL
หากหน้าเว็บเดียวกันสามารถเข้าถึงได้จากหลาย URL เช่น:https://www.example.com/page
https://www.example.com/page/?utm_source=newsletter
https://www.example.com/page
เป็น URL ที่ควรจัดอันดับ. - เวอร์ชันของหน้าในหลายภาษา
ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่รองรับหลายภาษา เช่น:https://www.example.com/en/page
https://www.example.com/th/page
<link rel="canonical" href="https://www.example.com/en/page" />
- หน้าเพจที่มีเนื้อหาซ้ำในรูปแบบต่างๆ
หากคุณมีหน้าเดียวกันที่มีเนื้อหาซ้ำในรูปแบบต่างๆ เช่น หน้าแสดงสินค้าในหลายหมวดหมู่หรือหลายลักษณะของสินค้าผ่าน URL ต่างๆ คุณสามารถใช้ Canonical Tag เพื่อบอกให้เครื่องมือค้นหาทราบว่า URL ใดเป็นหน้าหลักที่ควรได้รับการจัดอันดับ.
ข้อควรระวังในการใช้ Canonical Tag
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ที่คุณใช้ถูกต้อง
การใช้ URL ที่ไม่ถูกต้องใน Canonical Tag จะทำให้เครื่องมือค้นหาสับสนและอาจทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์เสียหาย - ใช้ในกรณีที่เหมาะสม
อย่าใช้ Canonical Tag ในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาต่างกันและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ้ำซ้อน หากเนื้อหาต่างกันจริงๆ ควรจะให้เครื่องมือค้นหาจัดอันดับหน้าแต่ละหน้าแยกจากกัน - ตรวจสอบผลหลังการใช้
หลังจากที่คุณได้ใช้ Canonical Tag แล้ว ควรทำการตรวจสอบผ่าน Google Search Console เพื่อดูว่าเครื่องมือค้นหาจัดการกับการตั้งค่าอย่างไร
สรุป
การใช้ Canonical Tag เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น โดยบอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าไหนควรได้รับการจัดอันดับให้เป็นหน้าแรก ด้วยการใช้ Canonical Tag คุณจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มอันดับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการทำ SEO อย่างลึกซึ้งและใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด สามารถลงทะเบียนเข้าร่วม คอร์ส SEO ของเราเพื่อเสริมทักษะและเรียนรู้เทคนิค SEO ที่ใช้ได้จริง!